Pentax K1000 (เดิมชื่อว่า Asahi Pentax K1000) ผลิตโดยบริษัท Asahi Optical Co. , Ltd. ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างปี ค.ศ. 1976 ถึง 1997 เป็นกล้องสะท้อนภาพเลนส์เดี่ยว (SLR) ใช้ฟิล์ม 135/ 35 มม. ชนิดเปลี่ยนเลนส์ได้ มีคุณสมบัติเด่นคือแข็งแรงทนทานใช้งานได้นาน จึงกลายเป็นตำนานของความอึดอีกยี่ห้อหนึ่ง ของวงการถ่ายภาพ ทั้งด้วยความเรียบง่าย รูปทรงคลาสสิก ราคาไม่แพง ตลอดจนสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมเกือบเทียบได้กับ Nikon FM หรือ Canon F-1 มีเพียงระบบกลไกบางด้านที่ Pentax K1000 ด้อยกว่าเพราะเน้นเป็นระบบกลไกล้วน แต่ถึงกระนั้น Pentax K1000 ยังได้รับความนิยมจากช่างภาพอย่างล้นหลาม สามารถผลิตออกจำหน่ายได้มากกว่าสามล้านกล้อง
Pentax K1000 เป็นกล้อง SLR ในตระกูล K-series 35 มม. ของ Asahi Optical เปิดตัวในปี 1976 ด้วยรูปทรงที่เรียบง่าย คลาสสิก ส่วนรุ่นอื่นๆได้แก่ Pentax K2, KM และ KX ซึ่งเปิดตัวในปี 1975 และ K2 DMD ปี 1976 ทั้งหมดมีการออกแบบรูปทรงพื้นฐานเหมือนกัน แต่ระดับคุณสมบัติด้านเทคนิคและการควบคุมที่แตกต่างกัน K1000 ได้ตัดระบบการตั้งเวลาถ่ายภาพล่วงหน้า การเช็คระยะชัดลึกและคุณลักษณะอื่น ๆ บางอย่างออกเพื่อลดต้นทุนจึงทำให้กล้องมีราคาถูกลง การใช้ม่านชัตเตอร์ในแนวนอนระนาบโฟกัสที่ทำจากผ้าไหม และยางที่มีช่วงความเร็วชัตเตอร์ 1/1000 วินาทีถึง 1 วินาที พร้อมกับโหมด Bulb ความสัมพันธ์กับแฟลชอยู่ที่ 1/60 วินาที ขนาดตัวกล้อง สูง 91.4 มม. กว้าง 143 มม. หนา 48 มม. หนัก 620 กรัม ตัวกล้องเป็นโลหะหุ้มด้วยหนังสีดำตัดกับโครเมียม เว้นแต่บอดี้ Pentax K1000 SE ที่ผลิตในช่วงต้นจะมีหนังสีน้ำตาลตัดกับโครเมียม
ราคาขายปลีกในสหรัฐอเมริกาสำหรับตัวกล้อง พร้อมเลนส์ SMC Pentax 55 มม. f / 2 อยู่ที่ 299.50 ดอลลาร์ ใน ในปี 1988 ตัวกล้องพร้อมเลนส์ SMC Pentax-M 50 มม. f / 2 ราคา 290 เหรียญและขยับราคาขึ้นเป็น 315 เหรียญในปี 1994 จนกระทั่งเลิกผลิต ซึ่งราคาของกล้องรุ่นนี้จะต่ำกว่าราคากล้องรุ่นอื่นๆ 30 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์
K1000 เป็นโลหะเกือบทั้งหมดควบคุมด้วยระบบกลไก โฟกัสแบบแมนนวล พร้อมระบบควบคุมการเปิดรับแสงด้วยตนเอง สามารถทำงานได้โดยไม่มีแบตเตอรี่ สำหรับข้อมูลการวัดแสงในช่องมองภาพ ประกอบด้วยระบบควบคุมการเปิดรับแสงตรงกลางเข็มโดยใช้ตัวชี้แบบเข็มกัลวาโนมิเตอร์ที่เคลื่อนที่ไปมาระหว่างเครื่องหมาย +/– สูง / ต่ำที่จัดเรียงในแนวตั้งเพื่อระบุการอ่านค่าเฉลี่ยในตัวเครื่องวัดแสง แบตเตอรี่แคดเมียมซัลไฟด์ (CdS) เทียบกับการตั้งค่ากล้องจริง มิเตอร์ไม่มีสวิตช์เปิด / ปิดและต้องติดฝาปิดเลนส์เข้ากับเลนส์เพื่อป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่ของ K1000 หมดเมื่อไม่ได้ใช้งาน
ช่องมองภาพมีหน้าจอโฟกัสพร้อมตัวช่วยโฟกัส จุดไมโครปริซึม Pentax K1000 SE แทนที่เครื่องวัดระยะภาพแบบแยกและหน้าจอโฟกัสแบบไมโครปริซึม มีเลนส์เสริมรุ่นต่างๆ เป็นเลนส์เมาท์ K รวมทั้งเลนส์โฟกัสแบบแมนนวลอื่น ๆ ที่มีเมาท์ K รวมถึงเลนส์ในกลุ่มของ SMC Pentax, SMC Pentax-M และ SMC Pentax-A นอกจากนี้ยังมีเลนส์ออโต้โฟกัส ของ Pentax K-AF และ K-AF2 (เปิดตัวในปี 1987 และ 1991 ตามลำดับ) ที่สามารถทำงานในโหมดแมนวลโฟกัสได้ ยกเว้น SMC-Pentax FA J (1997) และ SMC-Pentax DA (2004) เพราะไม่มีวงแหวนควบคุมรูรับแสงและเลนส์ K mount ที่ออกแบบมาสำหรับกล้อง APS-C สิ่งเหล่านี้สามารถติดตั้งได้ แต่มีฟังก์ชันการทำงานที่ จำกัด นอกจากนี้ยังมีอะแดปเตอร์เพื่อให้สามารถใช้เลนส์เมาท์อื่นๆ ได้ด้วยซึ่งโดยรวมแล้ว Pentax K1000 มีเลนส์ให้ใช้ได้เป็นจำนวนมาก
ในฐานะกล้องราคาประหยัด K1000 มีคุณสมบัติน้อยกว่า SLR ในช่วงกลางทศวรรษ 1970 อื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีโหมดตั้งเวลาถ่ายภาพ ทำให้ K1000 เป็นกล้องแมนนวลที่ต้องใช้ความชำนาญในการใช้งานมากกว่ากล้องรุ่นเดียวกัน แต่กระนั้น K1000 ยังได้รับความนิยมเนื่องจากมีราคาถูก มีความทนทานและแม่นยำ การขาดคุณสมบัติบางอย่างนั้น บางคนถือว่าเป็นคุณสมบัติเฉพาะของรุ่น เป็นกล้องที่มีประโยชน์ต่อการเรียนถ่ายภาพ เนื่องจากผู้เรียนต้องควบคุมการบันทึกภาพด้วยตนเองทั้งสิ้น ตัวเลข "1000" ในชื่อรุ่น K1000 หมายถึงความเร็วชัตเตอร์ที่เร็วสุดของกล้อง คือ 1/1000 อย่างเช่นการตั้งชื่อกล้อง Spotmatic รุ่นก่อนหน้า นี้คือSP1000 และ SP500 ซึ่งมีความเร็วชัตเตอร์สูงสุด 1/1000 และ 1/500 ตาม ลำดับ
ปัจจุบันกล้อง Pentax K1000 ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมใช้งานหาได้ไม่ยากนัก ในตลาดออนไลน์ที่มีผู้ที่เคยใช้หรือกล้องครูของบางคนที่เคยเรียนถ่ายภาพในยุคนั้นต้องการนำออกขายให้นักสะสม ก็มีจำนวนไม่น้อย หากใครอยากจะทบทวนความรู้เรื่องการถ่ายภาพในระดับคลาสสิกก็สามารถท่องโลกออนไลน์หาซื้อได้ สนนราคาในสภาพนางฟ้า 7000-10,000 บาทเอาไปใช้ต่อได้นานเกินคุ้มครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น